Slider[Style1]

Style2

Style3[OneLeft]

Style3[OneRight]

Style4

Style5[ImagesOnly]

Style6


เด็กชายคนนี้มีนามว่าเสี้ยวเจิ้ง เมื่อตอนเค้ายังเดิน เค้าเล่นอยู่กับเพื่อนๆที่หน้าบ้าน ระหว่างนั้นอยู่ๆก็มีชายหนุ่มเดินเข้ามาทำความรู้จักกับเค้าและเพื่อนๆ หลังจากคุยกันไปคุนกันมา ชายหนุ่มคนนี้ก็หลอกเสี้ยวเจิ้งไปกับเค้าด้วย
หลังจากวันนั้นเสี้ยวเจินก็ได้ไปอยู่กับครอบครัวใหม่และดูแลเค้าเป็นอย่างดีราวกับลูกในไส้ แต่ตัวเสี้ยวเจินเองคิดอยู่ตลอดเวลาว่าอยากกลับไปหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเค้า เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เค้าโตเป็นหนุ่มและสามารถหาเงินเลี้ยงดูตัวเองได้แล้ว เค้าจึงไม่รีรอที่จะไปแจ้งที่สถานีตำรวจเพื่อช่วยหาเบาะแสครอบครัวที่แท้จริงของเค้า ตำรวจได้ทำการเก็บเลือดของเค้าเพื่อไปตรวจสอบดีเอ็นเอ และพยายามช่วยค้นหาข้อมูลแฟ้มคดีแจ้งความเด็กหายเมื่อ 18 ปีที่แล้ว หลังจากที่ผลดีเอ็นเอออก ทางตำรวจจึงรีบนำไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของคนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นพ่อแม่ของเสี้ยวเจิ้ง  จากนั้นไม่นานตำรวจก็ได้หาครอบครัวของเค้าจนพบ และนัดมาเจอกัน

ครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายได้เจอกัน ทั้งพ่อและแม่ของเค้าก็จำได้ในทันที ว่านี้แหละคือลูกชายที่โดนลักพาตัวไปเมื่อ 18 ปีก่อน พร้อมกับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ

พ่อของเค้าจับแขนเสื้อดึงขึ้น และก็ได้เห็นไฝที่เป็นหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นลูกของเค้าจริงๆ ทุกคนตื่นเต้นดีใจมาก
บรรดาญาติกล่าวว่า ตั้งแต่เสี้ยวเจิ้งโดนลักพาตัวไป พ่อแม่ของเค้าก็ไม่เป็นอันกินอันนอน กลายเป็นโรคซึมเศร้า เพราะคิดถึงลูกชาย พยายามตามหาแต่ก็หาไม่เจอ

เสี้ยงเจิ้งบอกกับพ่อแม่เค้าว่าครอบครัวปัจจุบันที่รับเลี้ยงเค้า ดูแลเค้าดีมากตลอด 18 ปีที่ผ่านมา เสี้ยวเจิ้งโดนนักข่าวถามว่าเค้าจะย้ายกลับมาอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของเค้าไหม เค้าตอบว่าเค้าก็ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย เพราะไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึง เค้าได้พบกับครอบครัวและพ่อแม่ที่แท้จริงของเค้า เค้าก็ดีใจจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว



เป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้น ครอบครัวของเสี้ยวเจิ้งช่างโชคดีเหมือนปาฏิหาริย์ หวังว่าเรื่องราวการลักพาตัวจะไม่เกิดขึ้นกับครอบครัวใครอีก

ที่มา : Gooclup 

About เว็บไซด์

This is a short description in the author block about the author. You edit it by entering text in the "Biographical Info" field in the user admin panel.
«
Next
บทความใหม่กว่า
»
Previous
บทความที่เก่ากว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

Post a Comment