ความจน กับ
ความรวย เราวัดกันที่อะไร เงิน ตำแหน่งหน้าที่ บ้าน รถ ที่ดิน ฯลฯ
ชีวิตเราทุกวันนี้เรามักจะมองกันไปที่เงิน ซึ่งเงินมันก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่เงิน มันใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตหรือไม่
วันนี้ผมเอานิทานอีกเรื่องหนึ่งมาถ่ายทอดให้อ่านกัน
เท่าที่พยายามหาแหล่งที่มาของนิทานเรื่องนี้ ก็ยังหาไม่เจอว่าเป็นใครเขียน
ถ้าท่านผู้อ่านท่านไหนทราบ ก็แจ้งมาได้นะครับ ผมจะได้ให้เครดิตกับผู้เขียนนิทานเรื่องนี้ครับ
เรื่องราวมีอยู่ว่า….
อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง
สุดแสนจะภูมิใจ ที่ลูกชายวันห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง
ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น
จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้
โดยส่วนตัวของเขาเอง
ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน
ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียว
ไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ
แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่อง
“ความยากจน”
เพราะเขามีความเชื่อว่า
ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน
เขาจึงพาลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนายากจนครอบครัวหนึ่ง
และพักอยู่กับครอบครัวชาวนาเป็นเวลา 1 วัน
1 คืน เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา
มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้เรียนรู้อะไรบ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน
ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า
เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น
ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า….
….ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังกว้างน้อยกว่าท้องนาที่ทำงานของชาวนา
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังกว้างน้อยกว่าท้องนาที่ทำงานของชาวนา
….อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ
บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร
…….เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน
……ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา
ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นเพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน
แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง
โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่
………ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืน
โดยไม่ขาดแคลน
แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน
……..ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ
ภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่
………ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด
หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย
ผู้เป็นพ่อฟังแล้วเงียบงัน
ลูกชายสบตาพ่อเต็มตา แล้วบอกว่า
“ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้สำนึกว่า
เราจนขนาดไหน”
ไม่มีความคิดเห็น: