ไม่น่าเชื่อแค่เพียง ปลูกหญ้าเนเปียร์ขายให้วัวกิน ไม่เพียงช่วย
พลิกชีวิตเกษตรกรมีหนี้สินมากมายให้หลุด พ้นบ่วงกรรมได้เท่านั้น
ยังช่วยให้มีรายได้เข้าพกเข้าห่อนับแสนบาทต่อ เดือน…นี่ไม่ใช่นิยายขายฝัน
แต่เป็นชีวิตจริง ที่เกิดขึ้น ณ ต.ลำพญากลาง อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี
“ก่อนหน้านี้เลี้ยงวัวนม 30-40 ตัว
รีดน้ำนมดิบได้วันละ 600-700 กิโล ถือว่ามาก
แต่ทำไปทำมารายได้ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย เพราะอาหารทุกอย่างต้องซื้อเขาหมด ทั้งอาหารข้น
อาหารหยาบ ฟางแห้ง ต้นข้าวโพด ก็ต้องซื้อเขา หักค่าใช้จ่ายแล้วแทบไม่เหลือ
หนี้สินรุงรัง จนต้องเอาวัวมาทยอยขายใช้หนี้ มาปี 2554 เห็นคนอื่นเขาปลูกหญ้าเนเปียร์ให้วัวกิน
คิดจะทำอย่างเขาบ้าง แบ่งที่ดินมา 1 ไร่
ลองปลูกเล่นๆดูว่าจะเป็นยังไง ปรากฏว่า เอาไปให้วัวกินแล้วดี วัวชอบ
หลานที่เลี้ยงวัว มาขอแบ่งทดลองเอาไปให้วัวกิน ได้ผลดีเหมือนเรา
คราวนี้เลยขยายพื้นที่ปลูกมาเรื่อย ทีละไร่ สองไร่
จนวันนี้มีพื้นที่ปลูกหญ้าเนเปียร์ทั้งหมด 15 ไร่
และกำลังจะขยายต่ออีก 20 ไร่”
นายสำเร็จ จิตต์ชุ่ม เกษตรกรโคนมสหกรณ์ไทยมิลล์ ต.ลำพญากลาง บอกว่า
แค่ปลูก 15 ไร่
ตัดขายแทบไม่ทัน ในช่วงหน้าฝน หญ้าเนเปียร์ปลูกในพื้นที่แค่ 1 ไร่ ต้องใช้เวลาตัดกันถึง 3-4 วัน ถึงจะตัดได้หมด
แต่ถ้าเป็นหน้าแล้ง 2 วัน ถึงจะหมด…ที่ปลูกไว้
15 ไร่ กว่าจะตัดได้หมด หญ้าที่ตัดไปแปลงแรก
จะแตกต้นแตกใบมาให้เราได้ตัดใหม่อีกรอบพอดี เพราะหญ้าเนเปียร์โตเร็วมาก
ต้นสูงท่วมหัว ยิ่งมีน้ำยิ่งโตเร็ว
“โชคดีที่แปลงปลูกของเราอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ใกล้คลอง เลยสูบน้ำมาใช้ได้สะดวก
ปลูกไว้ 15 ไร่ ตัดเสร็จเอาเข้าเครื่องสับบดให้เป็นชิ้นเล็กๆ
ใส่กระสอบ ส่งขายถึงฟาร์มวัว ราคา กก.ละ 1.50 บาท
เดือนหนึ่งทำเงินได้เป็นแสนบาท นี่นับเฉพาะที่ตัดขายเท่านั้น
ยังไม่รวมราคาหญ้าเนเปียร์ที่เราเอามาเลี้ยงวัวของเราเองฟรีๆอีกวันละ 600 กก. ช่วยลดค่าอาหารหยาบได้ไม่น้อย เพราะให้วัวกินหญ้าเนเปียร์
เราไม่ต้องไปซื้ออาหารหยาบอย่างอื่นอีกแล้ว ซื้อแต่อาหารข้นอย่างเดียวเท่านั้นเอง”
ด้าน นายกมล ริมคีรี ผอ.สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์ ให้ข้อ
แนะนำแก่เกษตรกรที่คิดจะปลูกหญ้าเนเปียร์เพื่อให้มีรายได้ดีอย่างนี้ว่า
สิ่งสำคัญที่เกษตรกรต้องคำนึงถึง จะต้องมีพื้นที่ปลูกอย่างน้อย 15 ไร่
พร้อมกับเลี้ยงวัว 30-40 ตัว ควบคู่ไปด้วย เพราะจะได้มูลวัวมาเป็นปุ๋ยให้หญ้าเนเปียร์…และควรอยู่ใกล้แหล่งน้ำ
เนื่องจากหญ้าเนเปียร์เป็นพืชที่ต้องการน้ำมากพอสมควร ถึงจะให้ผลผลิตสูงถึง 30
ตันต่อไร่ต่อปี และควรติดตั้งระบบสปริงเกอร์ ให้น้ำในฤดูแล้งด้วย
และที่สำคัญมองข้ามไม่ได้เลย “เรื่องตลาด” พื้นที่ปลูกควรจะมีลูกค้าหนาแน่น นั่นคือ
อยู่ในพื้นที่มีการเลี้ยงโคหนาแน่น หรือมีสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคตั้งอยู่
ไม่ใช่เห็นเขาปลูกแล้วรายได้ดี คิดจะแห่ปลูกตาม…โดยไม่ดูให้ดี
ปลูกแล้วจะขายใคร รังแต่จะเจ๊งสถานเดียว.
ไม่มีความคิดเห็น: