ทุกวันนี้ก็ยังเกิดความสับสนของผู้ที่ขับขี่ยวดยานบนท้องถนนจากการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บางคันขับเร็วมากเช่น
120 กม./ชม.
แต่ไม่ถูกจับ ขณะที่คนที่ขับด้วยความเร็ว 115 กม./ชม.
กลับถูกจับ…
วันนี้การใช้รถใช้ถนนต้องมีการจำกัด “ความเร็ว” เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและเป็นการลดการเกิดอุบัติเหตุที่เป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศ
โดยเฉพาะในเมืองกรุงที่มีปริมาณรถจำนวนมากเมื่อเกิดอุบัติเหตุยังจะเพิ่มภาระในเรื่องปัญหาการจราจรติดขัดเพิ่มเข้าไปอีก
แต่ทุกวันนี้ก็ยังเกิดความสับสนของผู้ที่ขับขี่ยวดยานบนท้องถนนจากการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บางคันขับเร็วมากเช่น
120 กม./ชม.
แต่ไม่ถูกจับ ขณะที่คนที่ขับด้วยความเร็ว 115 กม./ชม.
กลับถูกจับ
ซึ่งเป็นความรู้สึกที่อาจเกิดคำถามว่าแล้วความเร็วเท่าไหร่กันแน่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้บังคับใช้กฎหมายจะทำการออกใบสั่ง
คนส่วนใหญ่อาจรู้แล้วว่าการขับขี่รถตามความเร็วที่กฎหมายกำหนดนั้นปัจจุบันกำหนดไว้ต่ำมากเช่น
ถนนในเขตเทศบาลสำหรับรถยนต์ทั่วไปใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 80 กม./ชม.
ส่วนนอกเขตเทศบาลกำหนดที่ไม่เกิน 90 กม./ชม.
ส่วนบนถนนที่เรียกว่าทางด่วนนั้นมีกฎหมายที่กำหนดความเร็วไว้เพียงทางหลวงพิเศษหมายเลข
7 (มอเตอร์ เวย์) และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 (ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก) ที่กำหนดให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 120 กม./ชม. ดังนั้นทางด่วน
ในพื้นที่กรุงเทพฯที่ไม่ใช่มอเตอร์เวย์และถนนวงแหวนฯ ต้องใช้ความเร็วตามกฎหมายอ้างอิงความเร็วในเขต/นอกเขตเทศบาลคือวิ่งได้ไม่เกิน
80 และ 90 กม./ชม. เท่านั้น
ดังที่เราจะเห็นป้ายไฟตามทางด่วนที่จะระบุอัตราความเร็วดังกล่าวเพื่อเตือนผู้ขับขี่ให้เห็นได้ตลอดเส้นทาง
ซึ่ง แม้ว่ากฎหมายจะระบุไว้ต่ำมากแต่ก็ใช่ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการออกใบสั่งตามระเบียบดังกล่าวเป๊ะ
ๆ เพราะคงจะเป็นกระแสสังคมให้เกิดการต่อต้านแน่ ๆ
หากไปจับรถที่วิ่งบนทางด่วนด้วยความเร็วเพียง 90 กม./ชม.
ซึ่งปัจจุบันนี้บนทางด่วนโทลล์เวย์
ทางยกระดับหรือบนถนนวงแหวนฯมีการกำหนดอัตราความเร็วที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับกุมบังคับใช้ที่ประมาณ
120 กม./ชม.
ขณะที่ในถนนพื้นราบในพื้นที่กรุงเทพฯนั้นแทบไม่มีการจับกุม
จะมีก็ในส่วนของตำรวจทางหลวงที่มีการจับกุมผู้ที่ขับขี่รถในถนนทางหลวงระหว่างจังหวัดซึ่งส่วนใหญ่ก็จะจับที่ความเร็วเกิน
100 กม./ชม. ขึ้นไป
การระบุอัตราความเร็วดังกล่าวเป็น กฎหมายที่มีการประกาศใช้ตาม
พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งใช้มานานกว่า 30 ปีแล้ว
แต่ก็ไม่มีใครหรือหน่วยงานใดที่จะออกมาปรับปรุงแก้ไขให้สอดรับกับความเป็นจริงหรือเพื่อลดความคับข้องใจกรณีที่การจับกุมโดยใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่แตกต่างกันทำให้เกิดความลักลั่นในการบังคับใช้กฎหมายซึ่งผู้ที่ใช้รถอยู่ไม่น้อยเห็นว่าปัจจุบันทั้ง
สมรรถนะของรถและกายภาพของถนน
มีการออกแบบและปรับปรุงด้านวิศวกรรมจราจรให้รถสามารถใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นได้อย่างปลอดภัยแต่ทั้งนี้ก็มีความคิดเห็นอีกด้านหนึ่งที่สะท้อนจากผู้ที่เกี่ยวข้องว่า
ความเร็วตามที่ระบุในกฎหมายนั้นเป็นเกณฑ์การขับขี่ที่สามารถหยุดรถหรือลดความสูญเสียลงได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดเหตุการณ์คับขันบนท้องถนนซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของทั้งผู้ที่ขับขี่และผู้ที่เดินรวมถึงสิ่งที่อยู่ใกล้เคียงเขตทางถนน
จากข้อมูลของ หน่วยเฝ้าระวังและสะท้อนสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนน (Thailand Road Safety Observatory,
TRSO) ระบุถึงการใช้ความเร็วมีความสัมพันธ์กับโอกาสการเกิดอุบัติเหตุและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในทุกมิติ
ยิ่งขับรถเร็วยิ่งหยุดยาก หากเจอเหตุต้องเบรกรถกะทันหัน เช่น
เมื่อเพิ่มความเร็วจาก 32 กม./ชม. เป็น 112 กม./ชม. หรือ 3.5 เท่า
จะต้องใช้ระยะทางในการหยุดรถเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่า
ยิ่งขับเร็วยิ่งเจ็บหนักเมื่อความเร็วมากกว่า 80 กม./ชม.
ขึ้นไปถ้าชนกันจะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าการชนกันที่ความเร็ว 40 กม./ชม. ถึง 15 เท่า และความเร็วเพิ่มทุกร้อยละ 10
จะเพิ่มแรงปะทะร้อยละ 21 และเพิ่มความรุนแรงของอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ
46 และคนที่เดินถนนจะมีโอกาสเสียชีวิตเพียงร้อยละ 5 หากถูกชนที่ความเร็ว 32 กม./ชม.
แต่จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 45 หากถูกชนที่ความเร็ว 48 กม./ชม. และจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 85 หากถูกชนที่ความเร็ว
64 กม./ชม.
ด้าน พ.ต.อ.ภูษิต วิเศษคามินทร์ รองผู้บังคับการตำรวจจราจร (บก. จร.)
กล่าวว่า “ไม่อยากให้มองว่ากฎหมายที่ระบุเกณฑ์ไว้ต่ำเกินไปนั้นเป็นความล้าสมัยไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
เพราะแม้กฎหมายจะระบุไว้ให้ใช้ความเร็วได้น้อย
แต่การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ใช้ตามเกณฑ์ดังกล่าว
อย่างเทียบกับกรณีการจับผู้ที่เมาแล้วขับ หากมีแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมา ซึ่ง
เจ้าหน้าที่ก็ไม่เคยจับคนที่วัดแอลกอฮอล์ได้ที่ 51 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
เป็นต้น บังคับใช้กฎหมาย
ที่ใช้ดุลพินิจตามความเหมาะสมนั้นก็มีการผ่อนปรนยืดหยุ่นมาโดยตลอด
ซึ่งหากไปแก้กฎหมายให้ปรับเพิ่มเกณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นไปอีกก็จะเป็นการไปส่งเสริมให้ขับเร็วมากขึ้นเสี่ยงอุบัติเหตุมากขึ้น
อันที่จริงแล้วอยากให้ประชาชนตระหนักในเรื่องการขับขี่ให้เกิดความปลอดภัยมากกว่าคิดเรื่องว่าจะถูกจับหรือไม่เพราะกฎหมายที่บังคับใช้ก็เพื่อความปกติสุขของสังคมส่วนรวม”
คิดสะระตะแล้วผู้ที่นิยมขับรถเร็วก็พึงต้องสังวรและระแวดระวังไว้ว่าแม้จะมั่นใจในฝีมือและสมรรถนะของรถของตนเองเพียงใดแต่ท้องถนนนี้เป็นของคนทุกคน
ถามว่าคนที่ขับอยู่ใกล้ ๆ
หรือคนที่เดินอยู่ริมถนนอยากจะเสี่ยงอันตรายจากการขับขี่ของเราหรือไม่ เมื่อ “อุบัติเหตุ” เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ดังนั้นคาถา “ขับรถถูกกฎ”นอกจากจะช่วยลดอุบัติเหตุแล้วยังไม่ต้องเสี่ยงเสียค่าปรับจากใบสั่งที่ส่งตามมาภายหลังด้วย
ไม่มีความคิดเห็น: